หุ้น SET ปี 2025 ยังน่าสนใจไหม มาดูภาพรวมพร้อมแยกแยะจุดแข็งจุดอ่อนอย่างละเอียด
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2025 มีทั้งโอกาสและข้อควรระวังชัดเจน นักลงทุนที่ต้องการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลต้องเข้าใจบริบท ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ปัจจัยในประเทศ แต่รวมถึงแรงขับเคลื่อนระดับโลกด้วย วันนี้จะมาแนะนำ 7 ปัจจัยที่ทำให้หุ้นไทยไม่ค่อยน่าซื้อ น่าลงทุน มาดูกันมีอะไรบ้าง เอาจริงๆ อยากให้เพื่อนได้อ่านมากๆ และลองไปปรับใช้งานกัน ว่ามันจริงไหม ทำไมถึงไม่น่าลงทุนเลย
แนวโน้มกำไรบริษัทตลาดหลักทรัพย์เติบโตช้า
ช่วงปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิของบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ตัวเลขหลายอุตสาหกรรมดูคล้ายช่วงก่อนโควิด พอจับคู่กับราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงฟื้นตลาด ทำให้ค่า P/E เฉลี่ยสูงกว่าระดับที่คาดหวังจากผลประกอบการจริง แนวโน้มแบบนี้บ่งชี้ว่าหุ้นไทยในปีนี้อาจมีโอกาสปรับลดลงถ้ากำไรยังไม่ฟื้นตัว ถ้าลงทุนโดยหวังขึ้นเร็ว การลงทุนอาจชะงักจนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ดึงราคากลับขึ้น
นโยบายภาครัฐยังส่งผลต่อบรรยากาศลงทุน
มาตรการพื้นฐานทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย ถอนเงินอุดหนุน หรือนโยบายจัดเก็บภาษี ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศลงทุน ถึงแม้รัฐบาลบางฉบับจะเสนอแผนช่วยเหลือ แต่หากโดนปรับโครงสร้างภาษีหรือเพิ่มดอกเบี้ยตลาด อาจดึงกำลังซื้อออกไปและทำให้ความเชื่อมั่นลดลง นอกจากนี้ ภาษีธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่ใกล้จะปรับใช้จริงในปีหน้า ก็อาจช่วยลดกำไรของบริษัทบางกลุ่ม ส่งผลต่อราคาหุ้นห่วงโซ่
สภาพคล่องตลาดยังต่ำ แม้จะกลับมาหลังโควิด
หากเปรียบเทียบกับปีก่อน สภาพคล่องในตลาดใหญ่ ฟื้นตัวขึ้น แต่ถ้ายังอยู่ในระดับต่ำเมื่อต่อกับระดับราคาปัจจุบัน ทำให้ราคาหุ้นกลางและใหญ่ไม่สามารถพุ่งกระฉูดได้ง่าย สารพัดเหตุการณ์เล็กน้อย เช่น การขายปรับพอร์ตจากฝั่งกองทุนต่างชาติ หรือนักลงทุนรายย่อยออกแรงในช่วงเฉพาะใดเฉพาะหนึ่ง ก็อาจส่งผลต่อราคาหุ้นทันที โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับตลาดต่างประเทศที่มีผู้เล่นหลากหลายและเงินทุนไหลเข้ามากกว่าเร็วกว่า
แข่งขันจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่เติบโตแรงกว่า
โอกาสใหญ่ในปัจจุบันอยู่ที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง เช่น อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ตลอดจนเทคโนโลยีและ Startup ในจีน ที่เพิ่มบทบาทชัดเจน นอกจากจะมีโอกาสเติบโตสูง ยังมีแรงผลักดันจากนโยบายสนับสนุนธุรกิจใหม่อย่างกลุ่ม AI และกรีนเทค ส่งให้เม็ดเงินจากนักลงทุนหมุนมาหาตลาดเหล่านี้ก่อนที่ตลาดไทยจะตอบโต้ได้ เมื่อดูอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง หลายตลาดอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้นักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักว่าเงินที่มีจะเข้าไทยหรือกระจายไปตลาดอื่น
หุ้นไทยยังโดดเด่นเรื่องปันผล แต่ไม่ได้หวือหวา
จุดแข็งของหุ้นไทยคือกลุ่มปันผลเด่น เช่น ธนาคาร สินค้าอุปโภคสำคัญ และพลังงาน แต่หากพิจารณาเรื่องผลตอบแทนสุทธิต่อความเสี่ยง (Sharpe Ratio) จะพบว่าหุ้นไทยไม่ได้โดดเด่นเหนือกลุ่มตราสารหนี้ หรือ ETF ต่างประเทศที่มีทั้งปันผลและความหลากหลาย การลงทุนระยะยาวจึงควรพิจารณาถึงช่องทางกระจายการลงทุน เช่น หุ้นสหรัฐ ทองคำ หรือ REITs ต่างประเทศ เพื่อบาลานซ์ความมั่นคงและเพิ่มโอกาสผลตอบแทน
ความก้าวหน้าด้าน ESG ยังไม่พุ่ง
เรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้รับการพูดถึงมาก แต่การนำนโยบายมาใช้จริงของบริษัทจดทะเบียนไทยยังต้องเร่งปรับปรุงในหลายมิติ ในตลาดโลก นักลงทุนสถาบันและกองทุนใหญ่คุมพอร์ตโดยเน้น ESG หากหุ้นไทยไม่ปรับตัว อาจเสี่ยงถูกกีดกันจากเม็ดเงินใหม่ที่กำลังไหลเข้าสู่หุ้น ESG-friendly
บทเรียนจากเศรษฐกิจโลก ดอกเบี้ยแรงกดดันตลาด
แม้ไทยจะมีดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ แต่ทิศทางการปรับดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และยุโรปยังมีผลต่อนักลงทุนทั่วโลก นักลงทุนต่างชาติอาจถอนออกจากตลาดเกิดใหม่ หากมีตัวเลือกในตลาดที่ให้ดอกเบี้ยเหมาะสมและเสถียรกว่า ขณะเดียวกัน นักลงทุนคนไทยเองก็ติดตามนโยบายดอกเบี้ยและความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจลดแรงซื้อในช่วงที่ความเชื่อมั่นลดลง
แนวทางเลือกสำหรับนักลงทุนในปี 2025
สำหรับผู้ที่ถือหุ้น SET อยู่แล้ว ควรปรับกลยุทธ์โดย
- หาความชัดเจนจากงบการเงิน แยกว่าหุ้นไหนมีกำไรเติบโตจริง
- ตั้งเกณฑ์หยุดขาดทุนล่วงหน้า เพื่อป้องกันแรงขายตอนตลาดผันผวน
- กระจายการลงทุนไปตลาดต่างประเทศผ่านกองทุน หรือ ETF เพื่อเสถียรมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่กำลังเริ่มต้น ควรพิจารณาว่าสัดส่วนหุ้นไทยควรเป็นเท่าไรในพอร์ต และมีช่องทางอื่นรองรับผลตอบแทนไหม เช่น ETF ตลาดใหม่ หรือสินทรัพย์ปลอดภัยบางส่วน
สรุป
ตลาดหุ้นไทยปี 2025 มีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดชัดเจน หากคุณมองหากำไรโตเร็วอาจต้องพิจารณาจากเศรษฐกิจต่างประเทศหรือกลุ่มธุรกิจใหม่ แต่ถ้าเน้นเสถียรภาพปันผลจากพื้นฐานมั่นคง หุ้นไทยก็ยังมีบทบาท การลงทุนอย่างชาญฉลาดสำหรับนักลงทุนยุคนี้ไม่ใช่หาวิธีถูกที่สุด แต่คือรู้ว่าอะไรเหมาะกับพอร์ตตัวเองที่สุดเพื่อรักษาและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวครับ